TRS Studio แปลงตู้คอนเทนเนอร์ให้เป็นบ้านพักอาศัยราคาประหยัด
ในนิคม Pesquero II เมืองลิมา ประเทศเปรู มีบ้านพักอาศัยที่สร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ โดยบริษัทสถาปนิก TRS STUDIO ได้ออกแบบบ้านพักที่ต้นทุนต่ำ มีความสะดวกสบายและปลอดภัย วัสดุของอาคารประกอบด้วย ตู้คอนเทนเนอร์รีไซเคิล แผงโพลีคาร์บอเนต ไม้อัด OSB และแผ่นไม้ นำมาสร้างให้เป็นบ้านพักสำหรับผู้มีรายได้น้อย และทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติน้อยที่สุด
รูปแบบของบ้านล้วนสร้างขึ้นมาจากวัสดุเหลือใช้ ดูแลรักษาง่าย บ้านตู้คอนเทนเนอร์แต่ละหลังมีพื้นที่ประมาณ 60 ตารางเมตร ผังบ้านเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ความกว้าง 4 เมตร และยาว 15 เมตร ประตูตู้คอนเทนเนอร์สามารถเปิดออกได้อย่างกว้างขวาง สามารถมองเห็นพื้นที่ใช้สอยที่อยู่ด้านใน และการติดแผงโพลีคาร์บอเนตทำให้บ้านมีแสงธรรมชาติเข้ามา และบ้านไม่ดูมืดทึบจนเกิดไป
ลักษณะบ้านเป็นแบบโมดูลาร์ 2 ชั้น ใช้วัสดุที่หาได้ตามพื้นที่ พื้นที่ชั้น 1 ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยหลัก มุมครัว และห้องนอนอยู่ด้านหลังสุด และมีพื้นที่ขนาด 18 ตารางเมตรสำหรับเป็นสวนหรือพื้นที่พักผ่อน ส่วนชั้นสองเป็นพื้นที่ห้องนอน 2 ห้อง และห้องอ่านหนังสือที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนอีกห้องได้ โครงสร้างตู้คอนเทนเนอร์เป็นเหล็กแต่มีการเสริมความแข็งแรงและตกแต่งภายในและกั้นผนังด้วยแผงไม้อัด OSB หลังคาใช้แผงโพลีคาร์บอเนตมีลักษณะโปร่งแสง เพื่อให้มีแสงธรรมชาติเข้ามายังตัวบ้าน พื้นบ้านปูด้วยไม้ที่หาได้ในพื้นที่
การระบายอากาศของตัวบ้านจะไหลขึ้นสู่ชั้นบนโดยช่องหน้าต่างหลังคาแผงโพลีคาร์บอเนต และการที่ทำให้พื้นที่อ่านหนังสือชั้นสองสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนอีกห้องได้ รวมเป็นห้องนอน 4 ห้อง เพื่อรองรับครอบครัวที่มีการขยับขยายในอนาคต นอกจากนี้สถาปนิกได้สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้พักอาศัย ไม่ได้ออกแบบครั้งเดียวแล้วเหมือนกันหลายๆหลัง แต่จะให้คนในพื้นที่ร่วมดัดแปลงพื้นที่ภายในด้วยตนเอง
กลุ่มสถาปนิก TRS STUDIO เชื่อว่าการสร้างการมีส่วนร่วมร่วมกับชุมชน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ มีความจำเป็นอย่างมากและควรสนับสนุน เพื่อทำให้เกิดการก่อสร้างอาคารที่ยั่งยืน ต่อไปจะเป็นโมเดลบ้านทางเลือกราคาประหยัดที่ผู้อาศัยสามารถสร้างเองได้ เป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงเรื่องค่านิยมและคุณภาพชีวิต
ข้อมูลจาก inhabitat.com // dezeen.com
Shipping container Farms การนำตู้คอนเทนเนอร์มาใช้ในการทำเกษตรกรรมยุคใหม่
ในยุคนี้ เรื่องการพัฒนาด้านการเกษตรกรรมเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นเรื่องปากท้อง อาหารการกิน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไม่สามารถทำเกษตรกรรมทางธรรมชาติได้ จะต้องคิดค้นหาทางที่สามารถปลูกผักสวนครัวได้ ภูมิภาคที่ทำเกษตรกรรมได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นโซนยุโรปและแอฟฟริกาใต้
การทำเกษตรกรรมด้วยตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการทำสวนแนวตั้งในร่ม สามารถเคลื่อนย้ายได้ เหมาะมากกับการปลูกพืชผักสวนครัวที่มีข้อจำกัดของขนาดพื้นที่ที่จำกัด ทั้งนี้ต้องตรวจสอบเรื่องงานระบบ เรื่องระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ การเข้าถึงระบบไฟฟ้าต่างๆ การติดตั้งระบบคอนเทนเนอร์มีข้อดีที่ขนส่งง่าย เคลื่อนย้ายง่าย และสามารถปรับขนาดพื้นที่เพาะปลูกได้ตามความเหมาะสม
การปลูกพืชในตู้คอนเทนเนอร์ช่วยเรื่องความมั่นคงในด้านการผลิตอาหารพื้นถิ่น ลดการนำเข้าอาหารให้น้อยลง จากที่มาจะเห็นว่าการคิดค้นรูปแบบนี้จะเป็นประเทศที่ขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูก สภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย ในประเทศไทยไม่ค่อยเห็น เราจะพูดในประเด็นของประเทศที่เขาให้ความสำคัญกับด้านนี้
The DROP & GROW container farm
เป็นโครงการพัฒนาด้านการเพาะปลูกของประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาอาหารและสร้างความยั่งยืน DROP & GROW เป็นการทำสวนแนวตั้งที่สามารถผลิตพืชพรรณได้ตลอด 365 วัน โดยอาศัยระบบเทคโนโลยีแอโรโพนิก (Aeroponic) เป็นการพัฒนาจากกลุ่มนักวิจัยและเกษตรกร เพื่อดูวิธีการเติบโตและวัดผลได้อย่างแม่นยำ
พื้นที่ของตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 24 ตารางเมตร ภายในสามารถปลูกผักผลไม้ได้ตลอดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ในช่วงที่เกิดโควิด-19ระบาดในปี 2020 เป็นช่วงที่ทั่วโลกเกิดภาวะวิกฤติ เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่ได้ผลกระทบเช่นกัน Jack Farmer เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง DROP & GROW และ CSO ของ LettUs Grow ได้เล่าว่า ทางบริษัทกำลังบุกเบิกการทำเกษตรกรรมแนวใหม่โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงล็อคดาวน์ในปี 2020 บริษัทเทคโนโลยีนี้ได้ทุ่มการผลิตโรงงาน D & G ในเมืองบริสตอลให้กับธนาคารอาหาร (Food Bank) ท้องถิ่น เริ่มต้นจากจุดเล็กๆในระดับท้องถิ่นในการหล่อเลี้ยงประชากร
การปลูกพืชภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม (Controlled environment agriculture หรือ CEA) เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้วัดคุณภาพเรื่องการเพาะปลูกในรูปแบบใหม่ๆว่าดีและปลอดภัยต่อผู้บริโภค การทำเกษตรกรรมในร่มช่วยในเรื่องการควบคุมอากาศและแมลง ที่สำคัญด้วยความที่ตู้คอนเทนเนอร์สามารถเคลื่อนย้ายไปตั้งที่ไหนก็ได้ ถือเป็นวัตถุไม่ถาวร จึงเป็นข้อดีที่ไม่จำเป็นขอใบอนุญาตในการจัดตั้งพื้นที่เพาะปลูก
D & G ร่วมมือกับกลุ่มนักวิชาการมหาวิทยาลัย ได้แก่ University of York, University of Bristol และ John Innes Centre (JIC) เพื่อศึกษาด้านสัณฐานวิทยา (Morphology) ในการขยายพันธุ์ของรากพืชพรรณ เพื่อปรับปรุงพืชสวนครัวให้เกิดรวดเร็วให้ทันต่อเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา รวมไปถึงการศึกษาสรีรวิทยาของพืชว่าจะผสมพันธุ์พืชอย่างไรหากทำสวนแนวตั้งในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเทคโนโลยีของ D & G คือการพัฒนาเรื่องวิธีการเติบโตของพืชในสภาพแวดล้อมที่หลาหลายตั้งแต่การปลูกพืชในเรือนกระจก และการทำสวนแนวตั้ง และการทำสวนในร่มอย่างตู้คอนเทนเนอร์
D & G เห็นวิกฤติจากสถานการณ์โควิด-19 ให้เป็นโอกาสในเรื่องของการผลิตอาหารโดยอาศัยความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับชุมชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับเล็กๆในท้องถิ่น การผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ หรือเกิดการจ้างงานมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมี “Grow It York” เป็นอีกหนึ่งโปรเจคที่ทำสวนในตู้คอนเทนเนอร์ในเมือง ตั้งอยู่ที่ Spark:York มีจุดเริ่มต้นมาจาก Katherine Denby เป็นศาตราจารย์จาก Centre for Novel Agricultural Products (CNAP) และ Tom McKenzie เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Spark:York ได้ร่วมกันจัดตั้งฟาร์มตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้เป็นแหล่งผลผลิตในท้องถิ่นให้เข้ามายังตัวเมืองมากขึ้น
แนวคิดของ Grow It York คือการปลูกผักผลไม้ในรูปแบบไดนามิก โดยปลูกพืชในเฉพาะที่คนในพื้นที่ต้องการเท่านั้น เพื่อให้ไม่เกิดการสูญเสียหรือทิ้งอาหารโดยไม่จำเป็น ได้ผลผลิตที่คุ้มค่าที่สุด เหมาะสมกับพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกไม่ได้ และไม่ต้องเสียค่าขนส่ง โดยจัดตั้งร้านค้าร้านอาหารให้ใกล้แหล่งชุมชนและฟาร์มตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อให้เดินมาที่สวนโดยสะดวก ไม่ต้องขนส่ง เป็นแนวความคิดที่เพิ่มคุณค่าให้กับพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งที่ชุมชนเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตอาหารและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากแหล่งผลิต และโรงเรียนในพื้นที่สามารถเข้ามาเรียนรู้การเพาะปลูกแบบใหม่ในปัจจุบัน เป็นการต่อยอดให้กับเยาวชนที่จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
ข้อมูลจาก : www.lettusgrow.com // www.ukgbc.org
Container Facade การก่อสร้างอาคารด้วยคอนเทนเนอร์ที่ประเทศเดนมาร์ก
ประเทศเดนมาร์ก เป็นประเทศที่นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาเรื่องเส้นทางจักรยานในประเทศ เรื่องสถาปัตยกรรมถือว่าเติบโตเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคาร สิ่งที่โดดเด่นมากๆคือ การใช้คอนเทนเนอร์สามารถนำมาปรับใช้หลากหลายรูปแบบ
การนำตู้คอนเทนเนอร์มาสร้างเป็นที่พักสำหรับนักเรียนที่ท่าเรือโคเปนเฮเกน
บริษัทสถาปนิก Bjarke Ingels (BIG) ได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาวางซ้อนกันเพื่อทำเป็นหอพักนักศึกษาบริเวณท่าเรือโคเปนเฮเกน โครงการนี้มีชื่อว่า “Urban Rigger” เป้าหมายของโครงการเพื่อเป็นหอพักราคาประหยัดสำหรับนักเรียน นักศึกษา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณท่าเรือ ซึ่งบริษัท BIG ได้นำตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 9 ตู้นำมาวางซ้อนกันมีลักษณะคล้ายรูปทรง 3 เหลี่ยม 2 ชั้น มีคอร์ด(ลานโล่งตรงกลาง) เป็นสวนเล็กๆ เหมือนพื้นที่ส่วนกลาง จำนวนห้องพักจะมีทั้งหมด 15 ห้อง
การที่เรียงตู้คอนเทนเนอร์ให้เหลื่อมกันในลักษณะนี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันภัยที่เกิดจากน้ำท่วมหรือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ไม่ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นระดับไหน ไม่มีวันท่วม อาคารตู้คอนเทนเนอร์ถูกทาด้วยสีฟ้าสว่างสดใสและมีการเจาะช่องประตูหน้าต่างเข้าไป ส่วนบริเวณหลังคาถูกจัดแบ่งเป็นพื้นที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ พื้นที่ระเบียงดาดฟ้าขึ้นไปนั่งพักผ่อนได้ และอีกหลังปูด้วยหญ้า
โครงการ Urban Rigger เป็นโครงการที่นำเสนอการทำที่พักอาศัยในราคาไม่แพง โดยเลือกตู้คอนเทนเนอร์ในการสร้างที่อยู่อาศัยได้หลายห้อง สถาปนิกได้บอกว่า การขยายผลในเมืองมันสามารถทำได้ตลอด แต่พื้นที่บริเวณท่าเรือเป็นพื้นที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญและไม่ถูกนำมาใส่ใจให้พัฒนาให้ดีขึ้น กลุ่มสถาปนิกจึงคิดหาวิธีที่ทำอาคารหอพักที่เข้ากับบริบทท่าเรือได้อย่างเหมาะสมใจกลางเมืองโคเปนเฮเกนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ความยั่งยืนในด้านคุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่ควรคำนึง เมืองที่มีการเติบโตและมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสร้างที่พักอาศัยเพื่อรองรับความหนาแน่นของคนที่อพยพเข้ามายังเมือง โครงการ Urban Rigger ถือเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างที่แก้ปัญหาเรื่องเมือง
WFH House การนำตู้คอนเทนเนอร์เก่าไม่ใช้แล้ว มาสร้างบ้านพักให้น่าอยู่
บริษัทสถาปนิกเดนมาร์กชื่อ Arcgency ได้ออกแบบบ้านพักอาศัยที่ชื่อว่า WFH House อยู่ในประเทศจีน โดยสร้างจากตู้คอนเทนเนอร์เก่าที่ถูกทิ้งไว้ นำกลับมาใช้ใหม่ การรีไซเคิลวัสดุเป็นสิ่งสำคัญมาก หากจะพูดถึงงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่ยั่งยืน
WFH House มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 180 ตารางเมตร ตั้งอยู่ที่เมืองอู๋ซี ประเทศจีน เป็นสถาปัตยกรรมสีเขียว ที่เน้นเรื่องความยั่งยืน ตั้งแต่การนำตู้คอนเทนเนอร์ มีระบบการเก็บกักน้ำฝน หลังคาสีเขียวหุ้มด้วยหญ้า และติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ตัวบ้านนำตู้คอนเทนเนอร์เก่ามา 3 ตู้เรียงกันและซ้อนกันเป็นบ้าน 2 ชั้น หุ้มด้วยฉนวนไม้ไผ่ ตัวบ้านออกแบบให้ตรงตามมาตรฐานของที่พักอาศัย ภายในประกอบด้วยพื้นที่หลัก คือ ห้องนั่งเล่นที่มีแสงธรรมชาติสาดส่องมายังด้านในจากช่องแสงสกายไลท์ พื้นที่รับประทานอาหาร ห้องครัว และห้องน้ำ ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องนอน
WFH House คือรูปแบบบ้านสำเร็จรูปในระบบโมดูลที่สร้างและตกแต่งไว้อย่างสวยงาม หลังคาติดตั้งแผงโซล่าเซลล์และปูหญ้าเพื่อเป็นฉนวนกันความร้อนและกรองน้ำฝน การออกแบบตามหลักยุโรปคือสร้างคุณค่าให้กับการใช้ชีวิตเพื่อความยั่งยืนซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- มีความยืดหยุ่น
- สร้างคุณค่าให้กับคุณภาพชีวิต
- มีความน่าเชื่อถือ (ในระยะยาว) – วัสดุมีคุณภาพ ปลอดภัย ไม่เป็นพิษกับคน หรือเป็นวัสดุรีไซเคิล หรือการออกแบบสามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้
- วัสดุมีอายุการใช้งานยาวนาน
- เข้าถึงธรรมชาติ
- มีความเรียบง่าย
- มีความเป็นกันเอง
บทสรุป
นวัตกรรมจากตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งแต่เดิมคือตู้ขนส่งสินค้า แล้วถูกปล่อยทิ้งไว้ จนยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป องค์ความรู้และเทคโนโลยีสามารถเกิดการพัฒนาตู้คอนเนอร์ให้เป็นนวัตกรรมการก่อสร้างในรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมด้านคุณภาพชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริง แต่เราต้องคำนึงถึงข้อดี-ข้อเสีย และการใช้งานของตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป