![]() |
OMA |
พูดถึงสื่อสิ่งพิมพ์ในงานด้านสถาปัตยกรรม Rem Koolhaas เป็นสถาปนิกที่ทำหนังสือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ S M L XL หนังสือ Content หรือหนังสือ Delirious New York บทความนี้เป็นบทความสนทนาของ Rem Koolhaas ที่สัมภาษณ์โดย Beatriz Colomina(นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม) ที่เล่าที่มาที่ไปถึงความคิดและเหตุผลของการทำหนังสือสถาปัตยกรรม ที่แตกต่างกับหนังสือรูปแบบอื่นอย่างไร
The Architecture of Publication (Rotterdam,February 2007)
[Rem Koolhaas in Conversation with Beatriz Colomina]
ตั้งแต่คุณเริ่มก่อตั้ง OMA ขึ้นมา งานของคุณที่เห็นชัดเจนที่มีความสัมพันธ์กันคือ งานสถาปัตยกรรมและงานสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งหนังสือของคุณส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับงานของคุณเอง ถ้าสังเกตดีๆแล้วเราจะไม่เคยเห็นตอนพิเศษอย่างพูดเรื่องเกี่ยวกับ OMA หรือหนังสือ El Croquis แม้กระทั่งของ AMOเอง ที่วิเคราะห์สารพัดอย่าง แต่กลับไม่มีบทวิเคราะห์ตัวมันเอง ไม่มีหนังสือที่พูดถึงตัวหนังสือเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่องหนังสือเช่นกัน?
Rem : เหตุผลที่คุณพูดมาทั้งหมดชัดเจนมากและเป็นความจริง นั่นคือเราขาดในสิ่งที่คุณพูด
จริงๆแล้วคุณมีงานเขียนบันทึกของคุณเยอะมาก ย้อนกลับไปบทความบันทึกที่คุณเดินทางไปประเทศลากอส คุณเล่าให้ฟังได้ไหมว่าภายใต้ความสับสนวุ่นวายในเมืองลากอสนี้ว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เมื่อเทียบกับงานของคุณซึ่งมีความเป็นโมเดิร์น ชัดเจน ตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างเช่น ในปี2000 สำนักงานของคุณเริ่มต้นทำสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีจำนวนมาก เราต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลในการทำหนังสือครั้งนี้ เมื่อวานนี้เรานับไปได้ประมาณ 200 หน้า?
Rem : ประเด็นนี้มันอาจทำให้คุณรู้อะไรเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ก็ได้
![]() |
สื่อสิ่งพิมพ์ของ OMA |
![]() |
หนังสือที่เขียนถึงเมืองลากอส |
แน่นอนคุณรู้จัก Le Corbusier ซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาอุทิศให้กับการทำงาน และในชีวิตของเขา เขาได้เก็บข้อมูลที่บันทึกหมดทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี มีอยู่วันหนึ่งเขาไปเดินเล่นที่ชาดหาด และได้หยิบเปลือกหอยขึ้นมา เปลือกหอยชิ้นนี้เป็นหนึ่งในจำนวนที่สร้าง Le Corbusier ขึ้นมา
Rem: คุณคิดอย่างไรถึงพูดเกี่ยวกับ Le Corbusier
![]() |
L’Esprit Nouveau ออกแบบโดย Le Corbusier |
เขาเป็นคนที่เชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้น มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อในการกำหนดเป้าหมาย มีเรื่องที่ว่ามีใบเสร็จซักรีดของเขา หรือแม้กระทั่งใบเสร็จค่าโทรศัพท์ถูกบันทึกไว้ในข้อมูลของ L’Esprit Nouveau นี่คือเรื่องจริง เหมือนตำรวจเก็บข้อมูลหลักฐานเลย คุณเองก็ทำทำนองเดียวกันนี้คือสร้าง Le Corbusier กับมาอีกครั้ง
Rem: นั่นทำผมอึ้งไปเลย แล้วคุณรู้ไหมว่าสถาปนิกร่วมสมัยทำอะไรบ้าง
ฉันรู้ว่า Peter Eisenman ได้ขายข้อมูลงานของเขาให้กับ CCA (Canadian Centre for Architecture) คือไม่ใช่แค่ขายเก็บไว้เท่านั้นนะ แต่มันคือข้อมูลว่าเขากำลังทำอะไร เอาล่ะ กลับไปที่ OMA ที่ถูกก่อตั้งในปี 1975 ตอนนั้นยังถูกเรียกว่า Groszstadt คุณเคยพูดถึงมูลนิธิ Groszstadt ว่าเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดนิทรรศการ และการวิจัย จริงๆแล้ว Groszstadt คืออะไร
Rem: มันเป็นเครื่องมือที่ไม่แสวงหาผลกำไร เขาใช้ บริษัท OMA ก็ไม่ได้ทำเงินมากมายแต่อย่างใด เราเลยจำเป็นต้องมีเงินทุนสำหรับใช้ในการแสดงความคิดและการนำเสนองาน ส่วนบริษัท AMO
คุณบอกว่าหนังสือ Groszstadt ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ AMO
Rem : ใช่ครับ มันเป็นการรื้อฟื้นทุกอย่าง ปรับปรุงแนวความคิดของสำนักงานใหม่ทั้งหมด เราเพียงเพิ่มสิ่งเก่าหนึ่งอย่างคือ Groszstadt และสิ่งใหม่อีกหนึ่งอย่างคือ Generics ให้กับ OMA และ AMO
แล้วGenerics คืออะไร?
Rem : มันคือความซับซ้อนของเนื้อหาต่างๆ บางครั้งมันทำให้ผมรู้สึกมึนได้เหมือนกันกับรูปแบบไอคอนที่มากเกินไป ผมคิดว่าการเทิดทูนบูชาสถาปัตยกรรมในปัจจุบันมันเกิดจากการสะสมความเชื่อผิดๆ เราเลยมีวิธีการว่า เรารื้อมันออกให้หมด เพื่อปรับปรุงรูปแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งเราเคยออกแบบวิธีการนี้มาแล้ว ตัวอาคารมีความเป็นกลางมาก(ไม่ยึดติดรูปแบบ)
เป็นอาคารทั่วไป (Generics Building)
Rem: ใช่ครับ ทำให้ OMA สามารถความสัมพันธ์กับแบรน์อื่นๆได้
คุณตั้งใจจะจดสิทธิบัตรใช่หรือไม่
Rem: แค่ในนามเท่านั้นน่ะครับ
![]() |
หนังสือ Groszstadt Architektur |
มีอย่างหนึ่งที่ฉันสงสัยเกี่ยวกับ Groszstadt ลองย้อนกลับไปแล้วพบว่าไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย จนกระทั่งตอนนี้ คนในบริษัทก็ไม่มีใครสามารถบอกได้เหมือนกัน Groszstadt เลยจากไปอย่าง……..
Rem: สงบ
คุณบอกว่าคุณชอบแค่ชื่อของมันเท่านั้น แต่ทำไมส่วนหนึ่งของหนังสือที่ตีพิมพ์ถึงใช้ชื่อ Groszstadt ซึ่งสำหรับฉันมันเป็นแค่ชื่อหนังสือของ Hilberseimer คุณคิดว่าอย่างไร?
Rem: ถ้าพูดตามหลักทั่วไปแล้ว มันคือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมหานคร(metropolis) เพื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างทวีปยุโรปและอเมริกา
แต่คุณเรียกมันว่า Groszstadt แทนที่จะเป็น Metropolis
Rem: นั่นเป็นความลับ ‘Metropolitan Architecture’ ปัจจุบันถูกเรียกกันผิดๆตรงข้ามในสิ่งที่เราทำอยู๋ คือว่าเรามีความสนใจอย่างมากในการกำหนดtypologies ของเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ Metropolis มันคือการนึกถึงโลก แต่ในบางทีเราก็นำมาใช้แทนกันเท่านั้น
![]() |
the floating pool |
![]() |
Ludwig Hilberseimer สถาปนิกชาวเยอรมัน |
Hilberseimer เลยไม่ได้นำมาอ้างอิงแล้ว?
Rem: ผมนำเขามาอ้างอิงตลอดแหละครับ เขาเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีเสมอมา อย่าง Generics ก็เป็นแนวความคิดของ Hilberseimer
ใช่ งานของเขาถือเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมโมเดิร์น แต่ฉันสนใจถึงความเกี่ยวข้องของเมืองและหนังสือ ซึ่งในหนังสือ AD ตอนพิเศษคุณได้พูดถึง OMA ว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากเมือง(urbanism) มาสู่รูปแบบสถาปัตยกรรมใหม่เพื่อการฟื้นฟูรูปแบบและวิถีชีวิตของเมือง ฟังดูแล้วมันมีความเกี่ยวข้องกันมากกับข้อมูลในหนังสือ Delirious New York ซึ่งระหว่างความคิดในการก่อตั้งบริษัท OMA กับหาข้อมูลเพื่อเขียนหนังสือ Delirious New York ความคิดไหนมาก่อน?
Rem: Delirious New York มาก่อน ผมจำได้ลางๆนะว่า ผมอยากจะทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับนิวยอร์ก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงมาอเมริกา ในขณะเดียวกันผมมีความคิดอีกอย่างคือ เริ่มต้นเปิดสำนักงานร่วมกับ Elia [zenghelis] จากนั้นผมคิดว่าในปี 1975 เราอยู่ในมหาครแสงสีแห่งนี้ และจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ที่ที่ให้เราได้แสดงภาพโปสเตอร์ มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นการมาของสระว่ายนำ้ลอยฟ้า(the floating pool) ในแมนแฮตตัน
ตอนนั้นคุณเป็นคนรับผิดชอบในงานนิทรรศการหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในงาน
Rem: คนดูแลนิทรรศการ OMA คือ Margit Rowell (ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์)
![]() |
หนังสือ Delirious New York |
ผู้ร่วมงานหนังสือ Delirious New York |
มันเป็นการจัดนิทรรศการครั้งแรกในการทำงานใช้หรือไม่? คุณบอกว่าคุณมาอเมริกาในปี 1972 และเริ่มเขียนหนังสือ Delirious New Yorkใช่ไหม
Rem: ประมาณปี72-73 ตอนนั้นผมอยู่ที่คอร์เนล ผมอยากทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับนิวยอร์ก ผมก็เลยเริ่มรวบรวมข้อมูล
คุณศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากไหน?
Rem : ส่วนใหญ่จะเป็นการอ่าน บางครั้งก็มาจากการสะสมของเล็กๆน้อยๆจากนิวยอร์ก มันเป็นเศษเสี้ยวของประชานิยมนิวยอร์ก
ของสะสมอย่างเช่น?
Rem : โปสการ์ด เราเคยสะสมโปสการ์ดมีประมาณ 10,000 ใบที่เกี่ยวกับนิวยอร์กล้วนๆ
![]() |
Metropolitan Postcard Collectors Clubs ถือเป็นชมรมขนาดใหญ่ที่ทุกคนจะนำเสนอโปสการ์ดต่างๆ |
![]() |
Metropolitan Postcard Collectors Clubs |
แล้วคุณสะสมโปสการ์ด 10,000ใบของนิวยอร์กได้อย่างไร ได้มาจากไหน ร้านหนังสือหรือ?
Rem: ใช่ครับ มันมาจากร้านค้าเก่าๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เราย้ายมาอยู่นิวยอร์ก พวกเราเคยอยู่ใน the Metropolitan Postcard Collectors Clubs ด้วย
Metropolitan เป็นชื่อสถานที่ที่คุณนำมาใช้กับ OMA ใช่หรือไม่ แล้วมันเป็นคลับรูปแบบไหน?
Rem : มันเป็นสถานที่นัดพบเจอกันทุกๆเดือนในย่านชานเมือง ที่นี่เหมือนเป็นอีกเมืองหนึ่ง ทุกคนจะมีโต๊ะของตัวเอง และพวกเรามีการแลกเปลี่ยนกันในแต่ละโต๊ะ แล้วนำโปสการ์ดที่ได้ใส่ลงในกล่องรองเท้า โปสการ์ดเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มีค่ามาก เพราะหนึ่งในสามของหนังสือ Delirious New Yorkมาจากข้อมูลในโปสการ์ด ผมพบว่าโปสการ์ดพวกนี้เป็นสื่อกลางของสถาปัตยกรรมในยุคนั้น มันมีโปสการ์ดอยู่สี่ใบที่เล่าถึงประวัติศาสตร์การออกแบบของ the Rockefeller Center (เปิดหนังสือ Delirious New York ให้ดู) และผมไม่สามารถหาข้อมูลได้ทุกที่ และข้อมูลเกือบทั้งหมดของ Cony Island มาจากโปสการ์ดเช่นกัน ปีนั้นเป็นปีที่น่าทึ่งมาก ตอนนั้นผมอยู่ที่คอร์เนล แล้วฟูโก(Michel Foucault)ได้มาสอนที่นี่ รวมถึง Hubert Damisch(นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส) แล้วเราได้เป็นเพื่อนกับ Hubert และ Teri และเราเคยไปปิกนิคกับฟูโกด้วยครั้งหนึ่ง ตอนผมอยู่ที่ IAUS [Institute Architecture and Urban Studies]
![]() |
Rem กับ Wallace Harrison ขณะจัดงานนิทรรศการที่ IAUS |
สถานที่ไหนที่คุณเริ่มต้นเขียนหนังสือขึ้นมา เริ่มต้นจากสถาบันที่คุณศึกษาหรือเปล่า?
Rem : ไม่ใช่ครับ ผมเริ่มเขียนตอนอยู่ที่ลอนดอน ส่วนที่อเมริกาผมไม่ได้เขียน แต่ช่วงที่ผมกลับมาสอนหนังสือที่เอเอ ผมจะมีการสอนเลกเชอร์ทุกสัปดาห์ นั่นทำให้ผมสามารถเขียนหนังสือได้
นั่นคุณก็หมายความว่า คุณใช้เวลาเขียนหนังสือเป็นเวลา5ปี คือระหว่่างปี1972-1977 ช่วงนั้นคุณได้ศึกษาอะไรบ้าง คุณคงไม่ได้เขียนมันตลอดทั้ง 5 ปีหรอกนะ
Rem : ไม่ครับ ตอนนั้นผมคิดบทความได้หนึ่งบทความที่เกิดขึ้นในปี 1930 เกี่ยวกับ Beaux Arts Costume Ball และ the basin girl [เหล่าสถาปนิกที่แต่งตัวเป็นสถาปัตยกรรม อาคารสูง] มันถูกตีพิมพ์ในหนังสือ oppositions
![]() |
Beaux Arts Costume Ball and Basin girl ในปี 1930 |
![]() |
Beaux Arts Costume Ball and Basin girl ในปี 1930 |
แต่ส่วนใหญ่คุณจะสะสมภาพถ่าย
Rem: ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมไม่สามารถบังคับตัวผมเองได้
ที่คุณบอกว่าเขียนหนังสือตอนอยู่ที่ลอนดอน คุณเขียนที่ไหนในลอนดอน ?
Rem : ผมเขียนที่บ้าน คือเรามีบ้านที่ใหญ่มาก มีห้องพักถึงหกห้อง
คุณเลยให้เวลากับงานเขียนส่วนใหญ่ในห้องของคุณ?
Rem : ใช่ครับ จริงๆมันสำคัญมากนะ ที่มหาลัยผมจะรู้กดดัน เอ่อ ความเป็นส่วนตัวและกิจกรรม แต่ในหัวของผม ผมรู้สึกอยากจะพัฒนาอะไรๆตลอดเวลา อย่างแรกผมอยากจะศึกษาเรื่องราวของ Le Corbusier และ Dali (จิตรกร) อย่างเต็มที่ คุณคิดอะไรไม่ออกหรอกครับถ้าอยากจะค้นพบอะไรใหม่ๆ ฉะนั้นผมเลยสร้างมิตรโดยทำคามรู้จักกับ Wallace Harrison (สถาปนิกชาวอเมริกัน) และไปช่วยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเขา อีกอย่างผมเคยไปเยี่ยมสถาปนิกที่เกษียณแล้ว ที่ชาดหาดแมสซาชูเซตเพื่อเก็บข้อมูลของ Rockefeller Center
![]() |
Rockefeller Center |
![]() |
Cony Island |
คุณพูดถึงรูปภาพอยู่บ่อยๆ คุณไปได้ข้อมูลจากไหน จากห้องสมุดหรือ
Rem: ใช่ครับ ผมไปที่ห้องสมุดนิวยอร์ก(the New York Library) เพื่อไปตรวจดูข้อมูลจากไมโครฟิล์ม และข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ทั้งหมด อันนี้เป็นไมโครฟิล์มจากห้องสมุดนิวยอร์ก
คุณเลยนำข้อมูลที่ได้จากฟิล์มใช่ไหม
Rem: ไม่ครับ ข้อมูลที่เกี่ยวกับ Coney Island ทั้งหมดมาจากหนังสือพิมพ์และไมโครฟิล์มบางส่วน ผมคิดว่ามันเป็นภาพที่น่าทึ่ง ส่วนนี้มาจากโปสการ์ดทั้งหมด(ชี้ไปหน้าหนังสือ)
คุณได้สัมภาษณ์บุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งมีอยู่หลายคน คุณได้สัมภาษณ์ใครบ้าง?
Rem: Dali, Warhol, Philip Johnson, Kilham, Harrison, Bunschaft…..
มีหลายอย่างเลยที่คุณมีวิธีการทำงานเหมือนนักหนังสือพิมพ์
Rem: ใช่ครับ นั่นเพราะผมเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อน แต่การทำหนังสือของผมตอนนี้ต่างกับตอนเป็นนักสือพิมพ์คือ มีเวลาในการเขียนมากขึ้น ไม่มีเดดไลน์หรือใกล้ส่งงานแล้ว
รูปแบบของหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยข้อมูลเอกสาร
Rem: มันเป็นเอกสารจริงๆนั่นแหละครับ มันดูขัดๆบ้างกับงานเขียนหนังสือ
แล้ววิธีการเขียนหนังสือกับงานสถาปัตยกรรม คุณคิดว่ามันมีความขัดแย้งกันอย่างไรบ้าง ฉันไปเจอประโยคหนึ่งที่คุณได้พูดไว้ในปี 1972 ว่า “The City of the Captive Globe”และคุณยังพูดอีกว่า การหยั่งรู้งานสถาปัตยกรรมของแมนฮัตตันเกิดขึ้นก่อน จึงเกิดหนังสือ Delirious New York ขึ้นมา แล้วอะไรคือความเกี่ยวเนื่องระหว่างการเขียนหนังสือและงานสถาปัตยกรรม คุณเริ่มต้นจากอะไร
Rem : เทคนิคการเขียนของผม คือ อย่างแรกงานเขียนสถาปัตยกรรมต้องมีความน่าเชื่อถือและเป็นเรื่องที่ผมอยากทำ และบรรยายถึงการพัฒนางานสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน เป็นงานที่หนักอยู่เหมือนกัน บางทีเราต้องคอยรับมือกับปัญหา อย่างเช่น เมืองจีน คุณสามารถรู้สึกได้เลยว่ารูปแบบของเมืองเป็น Junk Space (เป็น spaceที่มีความหลากหลาย) หรือ Generic City ซึ่งเราต้องกลั่นกรองวิเคราะห์ เพื่อไม่ให้คนเกิดความสับสน
![]() |
The City of the Captive Globe, 1976 |
การเขียนให้อะไรกับคุณ
Rem : การเขียนมีความสำคัญอย่างมาก มันสามารถสร้างกำไรมากมาย คุณสามารถสร้างมันได้ด้วยตัวของคุณเอง การเขียนยังสามารถทำให้เรามีอีโก้ไม่มากก็น้อย
อะไรคือจุดเริ่มต้นในการทำงานเขียนของคุณ
Rem : จุดเริ่มต้น คือตอนที่ผมเริ่มเขียนนวนิยายเมื่ออายุ 16 เรื่อง Johann in Disneyland ผมอ้างอิงเรื่องราวจากหนังสือ National Geographic จากหนังสือของ Disneyland ที่พูดถึงทิงเกอร์เบลล์ และนักปืนเขาชาวเยอรมันที่ปืนเขาทุกวันที่ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) นิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับเผชิญหน้ากันของคน 2 คน
คุณเคยเป็นนักหนังสือพิมพ์ก่อนที่จะมาเป็นสถาปนิก คุณเคยเรียนทางด้านนี้มากก่อนหรือเปล่า
Rem : เปล่าครับ
คุณจบจากไฮสคูลแล้วมาทำด้านงานเขียนที่ไหน
Rem : ผมไปทำหนังสือรายสัปดาห์ ที่ De Haagse Post
ตอนนั้นคุณเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับอะไร
Rem : ผมเขียนหลายอย่าง อย่างเช่น ศิลปะ กีฬา สังคม การเมือง อีกอย่างผมเคยสัมภาษณ์สถาปนิก ผู้กำกับภาพยนต์ ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ fellini (ผู้กำกับชาวอิตาลี) เป็นภาพยนต์ที่ผมสนใจ
สถาปนิกคนไหนที่คุณอยากไปสัมภาษณ์มากที่สุด?
Rem : ผมอยากสัมภาษณ์ Le Corbusier แต่สัมภาษณ์แบบสั้นๆนะ
คุณจะสัมภาษณ์ Le Corbusier เนื่องในโอกาสอะไร
Rem: ผมจะสัมภาษณ์เขาตอนที่เขาได้รับรางวัลที่ฮอลแลนด์ แต่เขาดูเป็นคนนิ่งๆเข้าถึงยาก
![]() |
Anton Koolhaas |
![]() |
Rem Koolhaas สมัยที่กำกับภาพยนต์กับเพื่อน |
พ่อของคุณ Anton Koolhaas เป็นนักหนังสือพิมพ์ใช่ไหม?
Rem : ใช่ครับ พ่อเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ต่อมากลายมาเป็นนักเขียน
เป็นนักเขียนแบบไหน?
Rem : ท่านเป็นบรรณาธิการของ A leftist weekly,De Groene, เริ่มเป็นนักเขียนตอนอายุ 40 ตอนอยู่ที่อินโดนีเซีย งานเขียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ปรัชญา ท่านเขียนหนังสือประมาณ20เล่มเห็นจะได้ เขียนเกี่ยวกับมนุษย์ แล้วต่อมาท่านก็เป็นผู้อำนวยการของ the Dutch film academy ซึ่งเพื่อนผมเรียนที่นั่นแต่ผมไม่ได้เรียนที่นั่นเพราะผมคิดว่าพ่อมีรสนิยมแปลกๆเกี่ยวกับภาพยนต์
แต่เพื่อนๆของคุณก็ไปเรียนที่นั่น
Rem: ใช่ครับ
คุณเคยลองพิจารณารูปแบบการเขียนเหมือนไดอารี่ดูบ้างไหม?
Rem: บางครั้ง
มีช่วงไหนในชีวิตของคุณที่ไม่ได้เขียนหนังสือเลย
Rem: ไม่มีเลยครับ อันที่จริงไม่มีเลยที่หยุดเขียนหนังสือ
อ่านต่อตอนที่ 2 เกี่ยวกับหนังสือ SMLXL